เมอร์ซี่ย์ไซด์ครั้งสำคัญของ เอฟเวอร์ตัน

จุดเด่นของเกมพรีเมียร์ลีค ก็คือ เกมที่ทีมร่วมเมืองมาเจอกันเอง ที่เราเรียกกันว่า ดาร์บี้แมตช์ พรีเมียร์ลีคมีเกมดาร์บี้แมตช์มันอยู่หลายคู่เลย ไม่ว่าจะเป็น แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้แมตช์, ลอนดอน ดาร์บี้แมตช์ ที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ เมอร์ซีย์ไซด์ ดาร์บี้แมตช์ ของเมืองลิเวอร์พูล ที่ต้องบอกเลยว่าเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เอฟเวอร์ตันหลังจากเป็นผู้ที่ถูกกดขี่มาตลอด จะกลายเป็นผู้ปลดแอกบ้าง ไม่เท่านั้นเกมนี้ยังมีความสำคัญอีกหลายอย่าง

วัดระดับของตัวเอง

หากไปไล่ดูโปรแกรมของเอฟเวอร์ตัน ตั้งแต่เปิดซีซั่นมา มีเพียงแค่เกมแรกของซีซั่นเท่านั้นที่มีความยากเพราะเจอกับสเปอร์ส ทีมในกลุ่มลุ้นแชมป์ด้วยกัน แต่เอฟเวอร์ตันยังไม่เจอทีมในระดับที่เรียกว่า ของจริงอย่าง ลิเวอร์พูล แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และเชลซีเลย ซึ่งเกมนี้ถือว่าเป็นโอกาสดีที่จะวัดระดับความสามารถของตัวเองว่าดีพอหรือไม่ ในการจะก้าวขึ้นไปท้าชิงพื้นที่ท็อปโฟร์ หรือ อาจจะหาญกล้าขึ้นไปท้าชิงแชมป์ลีคจากลิเวอร์พูลได้เลย หากเกมนี้ผลการแข่งขันเป็นใจหรือ รูปเกมสู้ได้ไม่เป็นรอง น่าจะทำให้ขวัญกำลังใจนักเตะรับรู้ได้ว่า พวกเค้าสู้ได้

โอกาสชนะในรอบหลายปี

หากเราตั้งเงื่อนไข เฉพาะเกมพรีเมียร์ลีค ที่เอฟเวอร์ตัน เป็นเจ้าบ้านต้อนรับลิเวอร์พูล ครั้งสุดท้ายที่เค้าชนะ ต้องย้อนกลับไปวันที่ 17 เดือนต.ค. ปี 2010 โน่นเลยที่เอฟเวอร์ตัน เอาชนะลิเวอร์พูลไปได้ 2-0 จากผลงานของ ทิม เคฮิลล์ และ มิเกล อาร์เตต้า โดยโค้ชซุปเปอร์จีเนียสอย่าง เดวิด มอยส์ ผ่านไปเกือบ 10 ปี โอกาสครั้งสำคัญมาถึงพวกเค้าอีกครั้ง เมื่อเอฟเวอร์ตัน จะมีโอกาสได้เอาชนะ ลิเวอร์พูลได้สักที หลังจากผ่านไป 10 ปี

ต่อยอดสู่พื้นที่ยุโรป

แม้ว่าการจะบอกว่า เอฟเวอร์ตัน ลุ้นพื้นที่ยุโรป เร็วเกินไป แต่เอาเข้าจริงหากพวกเค้าผ่านลิเวอร์พูลไปได้ด้วย 3 คะแนน เกมต่อจากนี้ เอฟเวอร์ตันไม่น่าจะยาก พวกเค้าน่าจะเก็บ 3 แต้ม ต่อจากนี้ 3-5 เกมต่อไปได้หมด ซึ่งหากพวกเค้าทำได้จริง ก็เท่ากับว่า เค้านี่แหละเป็นม้ามืดจะทวงพื้นที่ยุโรปจากเหล่าขาประจำ หรือ อาจจะลุ้นแชมป์ได้เลย

 

สถิติน่าสนใจของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ หลังเข้าชิง

เป็นอีกหนึ่งครั้งที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของพวกเค้าเอง ด้วยการล้มทีมที่ดีที่สุดในโลกอีกทีมหนึ่งอย่าง ปารีส เพื่อกรุยทางเข้ารอบไปยืนรอชิงชนะเลิศฟุตบอลยุโรปถ้วยใหญ่ หรือ UCL เสียที หลังจากพยายามทำมาอย่างยาวนาน การเข้าชิงของเค้าครั้งนี้ทำให้เกิดสถิติมากมาย

เข้าชิงเป็นครั้งแรก และ ผู้ชิงหน้าใหม่

การเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศในครั้งนี้ ถือว่าเป็นการเข้าชิงชนะเลิศครั้งแรกในหน้าประวัติศาสตร์สโมสรกันเลยทีเดียว ไม่เท่านั้น แมนเชสเตอร์ ซิตี้ยังเป็นทีมหน้าใหม่รายที่ 42 ที่เข้าชิงรายการนี้ แต่หากนับเฉพาะอังกฤษ เค้าเป็นทีมหน้าใหม่รายที่เก้า ต่อจาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, ลิเวอร์พูล เชลซี, อาร์เซนอล, สเปอร์ส, ลีดส์ , แอสตัน วิลลา และ นอตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ถือว่าเท่ไม่หยอกทีเดียว

ผลงานชนะรวด

การเอาชนะเกมกับปารีส ทั้งสองเกม นั่นทำให้พวกเค้ากลายเป็นทีมที่ทำสถิตใหม่เลยก็คือ การเอาชนะติดต่อกันเจ็ดนัดรวดเป็นสถิติที่ดีที่สุดในรายการนี้หากนับเฉพาะทีมจากอังกฤษด้วยกัน ซึ่งน่าเสียดายที่หลุดเสมอไปในรอบแบ่งกลุ่ม ในเกมนัดแข่งที่ห้า ที่เจอกับปอร์โต้ หากเกมนั้นพวกเค้าชนะได้อีก ก็จะเท่ากับว่าพวกเค้าชนะรวดทั้งหมด 12 เกมตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่มเลยทีเดียว

ปลดล็อค เป๊ป

ทุกทีมที่เป๊ปไปคุมทีมหลังจากไม่ได้คุมบาร์ซาแล้วพวกเค้าหมายมั่นปั้นมือว่า จะต้องพาทีมต้นสังกัดคว้า UCL ได้แต่ไม่น่าเชื่อว่าหลังจากออกจากบาร์ซา นี่ก็เป็นเวลาเกือบสิบปีแล้วที่เป๊ป ได้ปลดล็อค พาทีมที่เค้าคุมเดินทางมาถึงรอบชิงชนะเลิศของ UCL ได้เสียที ก่อนหน้านั้นเค้าพาทีมาถึงตรงนี้ได้สองครั้งเมื่อปี 2009, 2011 ได้แชมป์ทั้งสองครั้ง ต้องดูกันว่า คราวนี้เป๊ป จะทำได้อีกครั้งหรือไม่

อีกหนึ่งสถิติสุดท้ายเป็นเรื่องราวบังเอิญ นั่นก็คือ ผู้รักษาประตูมือสามของแมนซิตี้อย่าง สกอตต์ คาร์สัน เค้าจะได้มีชื่ออยู่ในทีมที่เข้าชิงชนะเลิศ UCL อีกครั้งที่สนามเดิมก็คือ เมืองอิสตันบูล ประเทศตุรกี หลังจากเค้าเคยทำได้มาแล้วกับลิเวอร์พูลที่เข้าชิงรายการ UCL เมื่อปี 2005 ที่สนามเดียวกัน