สื่ออังกฤษถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักหลังล้อเลียน คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ยิงจุดโทษพลาด

สื่ออังกฤษถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักหลังล้อเลียน คริสเตียโน่ โรนัลโด้ (Cristiano Ronaldo) ยิงจุดโทษพลาด

บีบีซี สื่อชั้นนำของอังกฤษ ตกเป็นเป้าโจมตีจากแฟนบอลทั่วโลกหลังจากใช้แคปชั่นเสียดสี คริสเตียโน่ โรนัลโด้ (Cristiano Ronaldo) ซูเปอร์สตาร์ทีมชาติโปรตุเกส ที่พลาดโอกาสยิงจุดโทษในเกมยูโร 2024 รอบ 16 ทีมสุดท้าย เหตุการณ์นี้ส่งผลให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง โดยมีทั้งแฟนบอลและอดีตนักเตะชื่อดังออกมาแสดงความไม่พอใจต่อการกระทำของสื่อรายนี้

เกมดังกล่าวเป็นการแข่งขันระหว่างทีมชาติโปรตุเกสและสโลวีเนีย ซึ่งต้องตัดสินด้วยการดวลจุดโทษหลังจากเสมอกัน 0-0 ในเวลาปกติและต่อเวลาพิเศษ โดยโปรตุเกสเป็นฝ่ายชนะไปในที่สุด อย่างไรก็ตาม จุดเปลี่ยนสำคัญของเกมเกิดขึ้นในนาทีที่ 105 ของช่วงต่อเวลาพิเศษ เมื่อโรนัลโด้ (Cristiano Ronaldo) ได้รับโอกาสยิงจุดโทษแต่กลับยิงพลาดเป้า ทำให้เขาถึงกับร่ำไห้ด้วยความผิดหวัง

ในการวิเคราะห์เกมหลังจบการแข่งขัน บีบีซีได้นำเสนอภาพจังหวะสำคัญต่างๆ ตามปกติ แต่สิ่งที่สร้างความไม่พอใจให้กับแฟนบอลคือการใช้แคปชั่น “Misstiano Penaldo” ประกอบภาพจังหวะที่ โรนัลโด้ (Cristiano Ronaldo) ยิงจุดโทษพลาด คำดังกล่าวเป็นการผสมคำระหว่าง “Miss” (พลาด), “Penalty” (จุดโทษ) และชื่อของโรนัลโด้ (Cristiano Ronaldo) เพื่อล้อเลียนการยิงพลาดของเขา

การกระทำดังกล่าวของบีบีซีได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากแฟนบอลทั่วโลก โดยหลายคนแสดงความไม่พอใจผ่านโซเชียลมีเดีย มีการแสดงความคิดเห็นในลักษณะต่างๆ เช่น “นี่มันไม่ตลกเลย พวกเขาควรจะโดนฟ้อง” “นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย” และ “เห็นเหมือนกัน มันเป็นเรื่องที่รุนแรงและเต็มไปด้วยความไม่เป็นมืออาชีพ” เป็นต้น

นอกจากแฟนบอลทั่วไปแล้ว อดีตนักฟุตบอลระดับตำนานอย่าง จอห์น เทอร์รี่ (John George Terry) อดีตกัปตันทีมชาติอังกฤษและสโมสรเชลซี ก็ได้แสดงความไม่พอใจต่อการกระทำของบีบีซีเช่นกัน โดยเขาได้โพสต์ภาพหน้าจอที่แสดงแคปชั่นดังกล่าวลงบนอินสตาแกรมส่วนตัว พร้อมกับข้อความว่า “บีบีซี นี่มันน่าขายหน้าสิ้นดี” ซึ่งการแสดงความคิดเห็นของ เทอร์รี่ (John George Terry) ได้รับความสนใจอย่างมากและยิ่งเพิ่มแรงกดดันต่อบีบีซี และทั้งนี้หากใครสนใจเดิมพันกีฬาเลือก ทางเข้า สโบเบ็ต888

เหตุการณ์นี้ได้จุดประเด็นให้เกิดการถกเถียงเกี่ยวกับจรรยาบรรณของสื่อและความเหมาะสมในการนำเสนอข่าวกีฬา หลายคนมองว่าการล้อเลียนนักกีฬาในลักษณะนี้เป็นการกระทำที่ขาดความเป็นมืออาชีพและไม่เหมาะสมสำหรับสื่อระดับชาติอย่างบีบีซี ในขณะที่บางคนก็มองว่าเป็นเพียงการแสดงอารมณ์ขันที่ไม่ได้มีเจตนาร้าย

อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการออกมาแสดงความคิดเห็นหรือขอโทษอย่างเป็นทางการจากทางบีบีซีต่อเหตุการณ์นี้ ซึ่งทำให้หลายคนรู้สึกผิดหวังและเรียกร้องให้มีการแสดงความรับผิดชอบจากสื่อรายนี้

ในส่วนของโรนัลโด้ (Cristiano Ronaldo) เอง แม้จะพลาดโอกาสสำคัญในช่วงต่อเวลาพิเศษ แต่เขาก็สามารถแก้ตัวได้ในช่วงดวลจุดโทษ โดยเป็นคนยิงประตูลำดับแรกและทำสำเร็จ ช่วยให้ทีมชาติโปรตุเกสผ่านเข้ารอบต่อไปได้ในที่สุด ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเป็นมืออาชีพและจิตใจที่เข้มแข็งของเขา

เหตุการณ์นี้ไม่เพียงแต่สร้างความสั่นสะเทือนในวงการสื่อเท่านั้น แต่ยังเป็นบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับการนำเสนอข่าวกีฬาและการปฏิบัติต่อนักกีฬา โดยเฉพาะในยุคที่โซเชียลมีเดียมีอิทธิพลสูง การกระทำใดๆ ของสื่อมวลชนสามารถส่งผลกระทบในวงกว้างและรวดเร็ว ดังนั้น การพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนนำเสนอเนื้อหาจึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่งสำหรับสื่อทุกแขนง

วันนี้ทางเรา จึงสรุปข่าวของสื่ออังกฤษ มาให้ทุกคนได้อ่านกันครับ และหากใครอยากเดิมพันเลือก ทางเข้า สโบเบ็ต888

แกเร็ธ เซาธ์เกต ควรตัดสินใจอย่างกล้าหาญพัก จูด เบลลิงแฮม ในรอบ 16 ทีมสุดท้ายยูโร 2024

แกเร็ธ เซาธ์เกต ควรตัดสินใจอย่างกล้าหาญพัก จูด เบลลิงแฮม ในรอบ 16 ทีมสุดท้ายยูโร 2024

เหตุผลที่ควรพักดาวรุ่งตัวเก่งของทีมชาติอังกฤษ

จูด เบลลิงแฮม (Jude Bellingham) กองกลางวัย 20 ปีของเรอัล มาดริด ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในนักเตะที่ดีที่สุดของทีมชาติอังกฤษในขณะนี้ แต่ร็อบ ดอร์เซ็ตต์ นักข่าวชาวอังกฤษ เสนอว่า แกเร็ธ เซาธ์เกต ผู้จัดการทีมชาติอังกฤษ ควรพิจารณาพักเบลลิงแฮมในเกมรอบ 16 ทีมสุดท้ายของศึก ยูโร 2024 ตาราง การแข่งขันที่กำหนดไว้

เบลลิงแฮมได้รับรางวัลนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปีของยูฟ่า และคว้ารางวัลโกปา โทรฟี่ ซึ่งมอบให้กับนักเตะอายุต่ำกว่า 21 ปีที่ดีที่สุดในโลก นอกจากนี้ เขายังทำผลงานได้ดีกว่าคริสเตียโน โรนัลโดในช่วงแรกของการย้ายมาอยู่กับเรอัล มาดริด และเป็นนักเตะคนเดียวในทีมชาติอังกฤษชุดนี้ที่คว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก

สถิติที่ลดลงอย่างต่อเนื่องตาม ยูโร 2024 ตาราง

แม้จะมีผลงานที่ยอดเยี่ยม แต่สถิติของเบลลิงแฮมในทัวร์นาเมนต์ครั้งนี้กลับแสดงให้เห็นถึงฟอร์มการเล่นที่ลดลงอย่างต่อเนื่องตามตารางการแข่งขัน ยูโร 2024
เกมแรกกับเซอร์เบีย จูด เบลลิงแฮม (Jude Bellingham ได้รับเลือกเป็นนักเตะยอดเยี่ยมประจำเกม โดยมีการสัมผัสบอล 93 ครั้ง (มากที่สุดในทีม) และมีอัตราการส่งบอลสำเร็จ 96% เขาพยายามเลี้ยงบอล 5 ครั้ง สำเร็จ 2 ครั้ง ชนะการปะทะ 10 จาก 16 ครั้ง และทำประตูชัยให้กับทีม

เกมที่สองกับเดนมาร์ก เบลลิงแฮมสร้างโอกาสทำประตูได้เพียง 1 ครั้ง พยายามเลี้ยงบอล 7 ครั้ง สำเร็จ 4 ครั้ง ชนะการปะทะ 6 จาก 16 ครั้ง และไม่มีการยิงประตู

เกมที่สามกับสโลวีเนีย สถิติของเบลลิงแฮมแย่ลงอย่างเห็นได้ชัด โดยเขาพยายามเลี้ยงบอล 6 ครั้ง สำเร็จเพียง 1 ครั้ง ไม่สร้างโอกาสทำประตู ชนะการปะทะเพียง 2 จาก 9 ครั้ง และเสียบอล 16 ครั้ง ซึ่งมากที่สุดในทีม

ความเหนื่อยล้าทั้งร่างกายและจิตใจตลอด ยูโร 2024 ตาราง

เบลลิงแฮมได้ลงเล่นไปแล้ว 104 นัดในสองฤดูกาลที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่มากมายสำหรับนักเตะอายุเพียง 20 ปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้เล่นที่มีสไตล์การเล่นที่ใช้พลังงานสูงอย่างเบลลิงแฮม การลงเล่นอย่างต่อเนื่องตามตารางยูโร 2024 อาจส่งผลต่อสมรรถภาพร่างกายของเขา

นอกจากความเหนื่อยล้าทางร่างกายแล้ว เบลลิงแฮมยังต้องรับมือกับความกดดันทางจิตใจอีกด้วย เขาเป็นหนึ่งในผู้เล่นหลักของ เรอัล มาดริด (Real Madrid) และยังได้รับการแต่งตั้งให้เป็นส่วนหนึ่งของทีมผู้นำอาวุโสของทีมชาติอังกฤษเป็นครั้งแรก ซึ่งประกอบด้วยผู้เล่นที่มีประสบการณ์สูงอย่าง แฮร์รี่ เคน (Harry Kane) , เดแคลน ไรซ์ และเคียแรน ทริปเปียร์

ข้อสังเกตจากสนามตามตารางยูโร 2024

ในการแข่งขันที่ผ่านมาในเยอรมนีตามตารางยูโร 2024 สิ่งที่เห็นได้ชัดคือเบลลิงแฮมมักจะแสดงอาการหงุดหงิดบ่อยครั้ง ซึ่งอาจเป็นเพราะความผิดหวังกับผลงานของตัวเองและทีม นอกจากนี้ ยังมีรายงานจากสเปนว่าเขาอาจต้องเข้ารับการผ่าตัดไหล่ก่อนเริ่มฤดูกาลใหม่ของลาลีกา ซึ่งอาจเป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลต่อสภาพร่างกายของเขา

ทางเลือกของเซาธ์เกตในการจัดการกับ ยูโร 2024 ตาราง

ดอร์เซ็ตต์เสนอว่า การพักเบลลิงแฮมในเกมรอบ 16 ทีมสุดท้ายตามตารางยูโร 2024 อาจเป็นการเสี่ยงที่คุ้มค่า เพื่อให้เขาได้พักฟื้นและกลับมาในช่วงท้ายของทัวร์นาเมนต์ด้วยสภาพร่างกายที่สมบูรณ์ ทางเลือกอีกทางคือการใช้งานเบลลิงแฮมต่อไป ซึ่งอาจส่งผลให้ทีมชาติอังกฤษต้องตกรอบในช่วงต้นของรอบน็อคเอาท์

อย่างไรก็ตาม ดอร์เซ็ตต์เชื่อว่าเซาธ์เกตอาจไม่พิจารณาทางเลือกนี้ แต่เขากังวลว่าผู้จัดการทีมอาจต้องเสียใจในภายหลังหากยังคงใช้งานเบลลิงแฮมต่อไปตลอดตารางการแข่งขันที่เหลือ

ความท้าทายของผู้จัดการทีมในการจัดการกับตารางยูโร 2024

การตัดสินใจพักนักเตะดาวรุ่งอย่างเบลลิงแฮมในช่วงสำคัญของทัวร์นาเมนต์ถือเป็นความท้าทายอย่างยิ่งสำหรับเซาธ์เกต ในฐานะผู้จัดการทีม เขาต้องชั่งน้ำหนักระหว่างการรักษาสภาพร่างกายของนักเตะในระยะยาวกับความต้องการที่จะประสบความสำเร็จในทัวร์นาเมนต์นี้ โดยคำนึงถึงตารางการแข่งขัน ยูโร 2024 ที่เหลืออยู่

ทีมชาติอังกฤษมาที่เยอรมนีด้วยความมุ่งมั่นที่จะคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยนแชมเปี้ยนชิพ และเบลลิงแฮมถือเป็นกำลังสำคัญในการบรรลุเป้าหมายนี้ แต่หากเขาไม่สามารถเล่นได้เต็มศักยภาพตลอดตารางการแข่งขัน ก็อาจส่งผลเสียต่อทีมในภาพรวม

การตัดสินใจของเซาธ์เกตในเรื่องนี้จะเป็นบททดสอบสำคัญสำหรับความเป็นผู้นำและวิสัยทัศน์ของเขา ไม่ว่าเขาจะเลือกทางใด ผลลัพธ์ที่ตามมาจะส่งผลกระทบอย่างมากต่ออนาคตของทีมชาติอังกฤษในทัวร์นาเมนต์นี้ และอาจรวมถึงอนาคตของเซาธ์เกตในฐานะผู้จัดการทีมด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงความท้าทายที่รออยู่ในตาราง ยูโร 2024 ที่เหลือ

 

บทสรุปการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2024 กลุ่ม ดี

บทสรุปการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2024 กลุ่ม ดี

ในศึกฟุตบอลยูโร 2024 กลุ่ม ดี ที่สนามโอลิมเพียสตาดิโอน เบอร์ลิน นัดสุดท้ายของกลุ่ม ดี ระหว่างเนเธอร์แลนด์(Netherlands)กับออสเตรีย(Austria) เป็นการแข่งขันที่มีความตื่นเต้นและน่าติดตามอย่างมาก วันนี้เราจะมาสรุปผลการแข่งขันโดยกูรูของเว็ปไซด์ที่ขึ้นชื่อในด้านแนะนำ สูตรแทงบอล และข้อมูลสถิติที่น่าเชื่อถือได้อันดับต้นๆในวงการฟีฬา

การแข่งขันระหว่างเนเธอร์แลนด์กับออสเตรีย

ทีมเนเธอร์แลนด์เข้ามาในการแข่งขันนี้ด้วยความมั่นใจ เพราะมี 4 แต้มและอยู่ในตำแหน่งจ่าฝูงของกลุ่ม ดี ในขณะที่ทีมออสเตรียมี 3 แต้มแต่มีผลงานที่เข้าตาเกินคาด ทำให้การแข่งขันนี้เป็นที่น่าติดตามอย่างมาก

ครึ่งแรก

เปิดฉากการแข่งขันในครึ่งแรกเพียง 6 นาที ทีมออสเตรียสามารถทะยานออกนำได้ก่อน 1-0 จากจังหวะทางซ้ายของ อเล็กซานเดอร์ พราสส์(Alexander Prass) ที่เติมเกมรุกยัดบอลเข้าในไปติด ดอนเยลล์ มาเล่น(Donyell Malen) ทิ้งตัวสกัดผิดเหลี่ยมเปลี่ยนทางเข้าประตูตัวเอง

นาทีที่ 23 เนเธอร์แลนด์พลาดโอกาสทอง ทียานี่ ไรน์เดอร์ส(Tijani Reijnders) แทงบอลสุดงามให้ ดอนเยลล์ มาเล่น(Donyell Malen) หลุดเดี่ยวเข้าเขตโทษแต่ซัดสวนตัวพาทริค เพนท์ซ หลุดเสาไกลออกไปนิดเดียว

หมดครึ่งเวลาแรก เนเธอร์แลนด์ 0 ออสเตรีย 1

ครึ่งหลัง

เริ่มครึ่งหลังเพียงไม่กี่นาที เนเธอร์แลนด์สามารถตามตีเสมอได้สำเร็จ 1-1 จากจังหวะสวนกลับ ซาฟี ซิมอนส์(Xavi Simons) แปะบอลออกซ้ายให้ โกดี้ คักโป(Cody Gakpo) สอดมาเก็บในเขตโทษโยกตัดเข้าในปั่นด้วยขวาซุกหน้าต่างเสาไกล

ในนาทีที่ 59 ออสเตรียขึ้นนำอีกรอบ 2-1 จากจังหวะทางซ้ายของ ฟลอเรียน กริลลิตช์(Florian Grillitsch) ที่สอดเข้าเขตโทษและหักข้อข้ามมาเสาไกลถึง โรมาโน่ ชมิด(Romano Schmid) ที่ลอยมาขวิดไปติด สเตฟาน เดอ ฟราย(Stefan de Vrij) ที่พยายามสกัดแต่ไม่พ้นตุงตาข่าย

ท้ายเกม

นาทีที่ 75 อัศวินสีส้มสามารถตามตีเสมออีกครั้งเป็น 2-2 จากการที่ เวาต์ เว็กฮอร์สต์(Wout Weghorst) ตัวสำรองเก็บบอลในเขตโทษโขกชงให้ เมมฟิส เดอปาย(Memphis Depay) ตะบันเข้าไป แต่ผู้ตัดสินริบสกอร์จับแฮนด์บอลในจังหวะแรก ก่อนจะออกไปดู VAR แล้วหันมาชี้เป็นประตู

แต่แล้วในนาทีที่ 81 ออสเตรียไม่ถอดใจพลิกนำ 3-2 อีกครั้ง คริสโตฟ เบาม์การ์ตเนอร์(Christoph Baumgartner) ดีดบอลเข้าเขตโทษฝั่งซ้ายให้ มาร์เซล ซาบิตเซอร์(Marcel Sabitzer) หลุดกับดักล้ำหน้ากดยัดมุมแคบแสกหน้าบาร์ท แฟร์บรุคเค่นเข้าไปอย่างงดงาม

ผลการแข่งขันและผลกระทบต่อกลุ่ม

จบเกม เนเธอร์แลนด์ 2 ออสเตรีย 3 ทำให้ออสเตรียเก็บเพิ่มเป็น 6 คะแนน และด้วยผลการแข่งขันในคู่อื่นที่เป็นใจ ทำให้ออสเตรียคว้าแชมป์กลุ่ม ดี และตีตั๋วเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายไปพบกับรองแชมป์กลุ่ม เอฟ ขณะที่เนเธอร์แลนด์การันตีการเข้ารอบในฐานะอันดับ 3 ที่ดีที่สุด

รายชื่อนักเตะที่ลงสนามตัวจริง

เนเธอร์แลนด์ (4-3-3): บาร์ท แฟร์บรุคเค่น – ลุตชาเรล เกียร์ทราวด้า, สเตฟาน เดอ ฟราย, เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ (กัปตันทีม), นาธาน อาเก้ – ทียานี่ ไรน์เดอร์ส, แยร์ดี้ เชาเท่น, โจอี้ เฟียร์แมน – ดอนเยลล์ มาเล่น, เมมฟิส เดอปาย, โกดี้ คักโป
ออสเตรีย (4-2-3-1): พาทริค เพนท์ซ – สเตฟาน พอช, เควิน ดานโซ่, ฟิลิปป์ ลีนฮาร์ท, โอเล็กซานเดอร์ พราสส์ – นิโกลัส ไซวัลด์, ฟลอเรียน กริลลิตช์ – พาทริค วิมเมอร์, มาร์เซล ซาบิตเซอร์, โรมาโน่ ชมิด – มาร์โค อาร์เนาโตวิช (กัปตันทีม)
ผู้ตัดสิน : อีวาน ครูซเลียก

การแข่งขันครั้งนี้ไม่เพียงแต่สร้างความตื่นเต้นและความประทับใจให้กับแฟนบอล แต่ยังเป็นการพิสูจน์ถึงความแข็งแกร่งและความสามารถของทีมออสเตรียในการแข่งขันระดับนานาชาติ

แฟนผีประท้วงแบบนี้เกิดจากอะไร

แฟนผีประท้วงแบบนี้เกิดจากอะไร

การออกมาประท้วงของแฟนผีในครั้งนี้ ต้องบอกเลยว่า แม้แต่แฟนบอลปีศาจแดงด้วยกันเองก็ยังเกิดคำถามจนแตกเป็นสองกลุ่มว่า ประท้วงแบบนี้ได้อะไร ทั้งฝ่ายเห็นด้วย และไม่เห็นด้วยกับการกระทำในครั้งนี้ สำหรับแฟนบอลรอบนอกอาจจะไม่เข้าใจพวกเค้าพร้อมกับมองว่า การประท้วงแบบนี้ไม่ดีต่อภาพรวมทั้งหมด อีกทั้งพวกเค้ายังเกิดคำถามว่าการที่แฟนผีประท้วงแบบฮาร์ดคอร์อย่างนี้เกิดจากอะไรกัน

ความอดทนถึงขีดสุด

เอาตามความจริง การประทุครั้งนี้ของแฟนบอล ที่เราอาจจะใช้คำว่า “ไม่ทนแล้วโว้ย” ของแฟนบอล มันเป็นการระเบิดความโกรธที่สะสมเอาไว้จนถึงขีดสุดแล้วซึ่งความจริงแล้ว การต่อต้านตระกูลเกลเซอร์ ในการเข้ามาเทคโอเวอร์สโมสรนั้นมีมาตั้งแต่ก่อนที่พวกเค้าจะเข้ามาเทคโอเวอร์เสียอีก แต่ว่าตอนนั้นเสียงของพวกเค้าเบาเกินไป จนทำให้ผู้ถือหุ้นไม่เปลี่ยนใจและขายหุ้นจนทำให้ตระกูลเกลเซอร์เข้ามาเป็นเจ้าของแต่ผู้เดียว ส่วนแฟนบอลก็ได้แต่ประท้วงไปอย่างนั้นเป็นเวลานานกว่าสิบกว่าปีทีเดียว แต่มันก็ยังไม่เป็นผล

ซุปเปอร์ลีค ฟางเส้นสุดท้าย

อย่างที่บอกไปว่า การประท้วงเอาจริงมีการตั้งกลุ่มขึ้นมาประท้วงอย่างเป็นจริงเป็นจังมาก แต่ในช่วงแรกที่ ตระกูลเกลเซอร์เข้ามา ผลงานของทีมในยุคเฟสสุดท้ายของ ป๋าเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน มันยังดีอยู่ นั่นทำให้การประท้วงกลายเป็นเรื่องไร้สาระในสายตาแฟนบอลบางกลุ่มไป แต่ว่าหลังจากยุคป๋า ผลงานการบริหารอันห่วยแตกและไม่เข้าใจการทำทีมฟุตบอลเริ่มเห็นชัดมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งฟางเส้นสุดท้ายของพวกเค้ามาจบลง ตรงที่การที่ทีมเป็นหัวหอกในการนำทีมเข้าสู่โครงการซุปเปอร์ลีค นั่นแหละกลายเป็นชนวนว่า พวกเค้าจะไม่อยู่เฉยอีกต่อไป

สงบแต่เค้าไม่สน

หลายคนอาจจะสงสัยว่า ทำไมการประท้วงต้องรุนแรงด้วย ประท้วงโดยสันติน่าจะดีกว่า แต่อย่างที่กล่าวไปข้างต้น แฟนบอลแมนเชสเตอร์ อีกกลุ่มเค้าประท้วงด้วยวิธีสงบ สันติ มานานมากแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการยืนชูป้าย การใส่ผ้าพันคอเขียวเหลือง แต่เชื่อหรือไม่ว่าการทำแบบสงบมากว่า สิบปี ไม่ได้เกิดผลอะไรเลย เพราะว่าตระกูลเกลเซอร์ไม่ได้สนใจ ไม่ได้ยี่หระแต่อย่างน้อย เมื่อสุดท้ายวิธีการสงบ สันติไม่ได้ผล มันก็เลยต้องปรับรูปแบบมาเป็นอย่างนี้

ข้อสังเกต ครึ่งแรกที่ไม่มี บรูโน่ แฟร์นันเดส

ข้อสังเกต ครึ่งแรกที่ไม่มี บรูโน่ แฟร์นันเดส

ถือว่าเป็นอะไรที่เหมาะสมมากกับ บอร์ดบริหารของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่มีข่าวว่าจะขยายสัญญา พร้อมกับเบิ้ลค่าเหนื่อยของ บรูโน่ แฟร์นันเดส กลายเป็น 200,000 ปอนด์ ต่อสัปดาห์ อันนี้ถูกต้องแล้ว จากเกมล่าสุดที่พลิก(อีกแล้ว)เอาชนะเวสต์แฮมมาได้ แสดงให้เห็นเลยว่า ชายคนนี้สำคัญกับทีมแค่ไหน เพื่อให้ชัดเจนเรามีข้อสังเกตครึ่งแรกในเกมที่ไม่มีบรูโน่ แฟร์นันเดส

แก้เกมเพรสซิ่งไม่ได้

อย่างแรกเลยต้อง ให้เครดิตกับ เดวิด มอยส์ และลูกทีมเวสต์แฮมของเค้าด้วย การลงสนามด้วยแนวคิดว่าจะเพรสซิ่งหนักๆแบบติดตัว เป็นวิธีการเล่นที่ต้องใช้พละกำลังสูงมาก เหนื่อยมาก แต่ว่านักเตะของเวสต์แฮมก็ทำได้ดีมาก ส่วนนักเตะแมนยู พอเจอเพรสซิ่งหนักแบบนี้เข้าไปก็จบเลย เล่นไม่ออก ทำได้แค่เคาะคืนหลังอย่างเดียว หรือไม่ก็โยนยาวไปวัดกันระหว่างกองหลังกับกองหน้าว่าใครจะพลาด แต่ว่าพอ บรูโน่ ลงมาด้วยความคิดเร็วทำเร็ว มองเพื่อน บวกกับเพื่อนเชื่อใจทำให้การเล่นเร็วขึ้นจนแกะ แก้เพรสซิ่งได้เลย

บุกไม่ขึ้น เล่นไม่ออก

อย่างที่บอกไปข้างต้น ครึ่งแรก นักเตะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด บุกไม่ขึ้นเล่นไม่ออกกันเลยทีเดียว เอาแค่ว่าจะพลิกบอลหันหน้าเข้าหาประตูก็ทำไม่ได้เลย ขนาดเอดินสัน คาวานี่ ที่ว่าแน่ๆเกมนี้เค้าก็เล่นไม่ออกเหมือนกัน พอแตะบอลปุ๊บโดนรุมสองตลอด ส่วนหมากไม่ต้องพูดถึง เหมือนไม่ได้ลงไปเล่นกับเค้า

ขาดผู้นำของทีม

แม้ว่ากัปตันทีมของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะเป็น แฮร์รี่ แมคไกร์ว แต่หากเป็นผู้นำของทีมในเกมบุกต้องเป็น บรูโน่ เท่านั้น เราจะเห็นว่าพอไม่มีเค้า นักเตะในทีมไม่มีใครกล้าบุกเลย ไม่มีผู้นำคอยชี้สั่งการว่าจะต้องบุกไปทางไหน ทำอย่างไร ทุกคนดูลนลานไปหมด ดูสับสน เหมือนกับเรือที่ขาดต้นหนคอยสั่งการว่าแบบนั้นเลย นั่นทำให้เกิดสถานการณ์ว่าแทนที่จะกล้าแทงบอลขึ้นไป กลับต้องคืนหลังแล้วก็วนไปใหม่แบบนี้จนหมดเวลาครึ่งแรก แต่พอ บรูโน่ ลงมามันก็คนละเรื่องเลย

วิเคราะห์ เลสเตอร์ หลังผ่านครึ่งซีซั่น

วิเคราะห์ เลสเตอร์ หลังผ่านครึ่งซีซั่น

เลสเตอร์ ซิตี้ ในซีซั่นที่แล้วถือว่าเป็นอีกหนึ่งทีมที่สร้างความประหลาดใจให้กับแฟนบอลมากเลย พวกเค้าเกือบทำได้ถึงอันดับ 3 มาซีซั่นนี้แม้ว่าจะขายตัวหลักอย่าง เบน ชีเวลล์ไป พวกเค้าก็ไม่ได้อ่อนยวบลงแต่อย่างใด ยังสามารถต่อยอดความสำเร็จของทีมมาได้ถึงตรงนี้ มาวิเคราะห์กันบ้างว่าครึ่งซีซั่นผ่านไปเลสเตอร์เป็นอย่างไรบ้าง

เก็บคะแนนได้ตามต้องการ

เลสเตอร์ ซิตี้ ตอนนี้เค้าอยู่ในตำแหน่งคั่วแชมป์ลีคด้วย บางจังหวะเค้าสามารถสอดแทรกขึ้นไปถึงตำแหน่งจ่าฝูงได้เลย ความน่ากลัวของเลสเตอร์ ซีซั่นนี้มาจากการเล่นที่มีความแน่นอนมากขึ้น การเล่นเกมรับมีระเบียบ วินัย ไม่เสียง่าย บวกกับ แคสเปอร์ ชไมเคิล ชั่วโมงนี้เค้านี่เหนียวจริง ยิงเข้ายากมากบางเกม เค้านี่แหละเซฟแต้มให้กับทีมเลย ส่วนเกมรุกแน่นอนว่าตัวหลักอย่าง เจมี่ วาร์ดี้ ทำหน้าที่ได้เหมือนเดิม อาจจะไม่เร็วเท่าเดิม แต่ความคม ความไว และประสบการณ์ยังไว้ใจได้เสมอ ทำให้พวกเค้ามีความสมดุลดีมากทั้งเกมรุก เกมรับ ขาดแต่เพียงช่องว่างของตัวจริง ตัวสำรองยังห่างกันเยอะ หากตัวจริงเจ็บ ก็เกิดปัญหาได้เหมือนกัน หากแก้ตรงนี้ได้ เลสเตอร์ ก็พร้อมจะเป็นตาอยู่ สอดแทรกขึ้นไปเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีคได้เหมือนกัน

นักเตะปั้นใหม่ดีขึ้น

เลสเตอร์ ซิตี้กลายเป็นอีกหนึ่งทีมที่มีสต๊าฟแมวมองดีมาก แม้ว่าพวกเค้าจะเสียใครไป แต่ก็หามาแทนแบบไม่ต้องปั้นกันเยอะก็ใช้งานได้เลย ซีซั่นนี้แม้ว่าพวกเค้าจะเสีย เบน ชีเวลล์ ไปให้เชลซี แต่พวกเค้าก็ได้ เวสลี่ย์ โฟฟาน่า มาปั้นต่อ หรือจะเป็นเจมส์ จัสติน ที่คนนี้ก็เกิดในซีซั่นนี้ คู่มากับ ฮาร์วีย์ บาร์นส์ ส่วนตัวที่ฟอร์มดีอยู่แล้วก็ยังรักษาระดับตัวเองไว้ได้ ไม่ว่าจะเป็น เจมส์ เมดดิสัน หรือ วิลฟรีด เอ็นดีดี้ ทั้งหมดนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับ เบรแดน รอดเจอร์ส และทีมงานเลยสายตาเฉียบแหลม บวกกับแท็คติคที่ดีจริง ใช้งานได้จริง น่ากลัวบอกตามตรง

ใครจะหาชัยชนะได้ก่อนกัน

ใครจะหาชัยชนะได้ก่อนกัน

ตอนนี้ฟุตบอลพรีเมียร์ลีค เดินทางมาถึงเกมการแข่งขันนัดที่ 5 เทียบให้เข้าใจง่ายน่าจะเป็นการผ่านช่วงออกสตาร์ทมาแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าทีมที่ชนะมากสุดคือ 4 เกม คือ เอฟเวอร์ตัน กับ แอสตัน วิลล่า ถือว่าเปิดหัวได้สวย แต่มองไปอีกด้านก็ยังมีอีกหลายทีมที่ยังควานหาชัยชนะนัดแรกไม่เจอ มีใครกันบ้าง

เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด

จากที่เคยถูกมองว่าเป็นม้ามืด เล่นดี ฟอร์มดี ทีมเวิร์คเยี่ยมในซีซั่นที่แล้ว มาซีซั่นนี้พวกเค้าก็เล่นเหมือนเดิม ผู้เล่นก็หน้าเดิมเกือบหมด แต่ว่าผลการแข่งขันไม่เหมือนเดิม ตอนนี้เล่นไป 5 เกม อยู่อันดับที่ 17 เสมอ 1 แพ้ 4 ถือว่าเป็นสิ่งที่ผิดความคาดหมายไปเยอะเลย สื่อเมืองนอกให้ความเห็นว่านี่คืออาการของ second season syndrome อาการที่ทีมฟอร์มตกหรือทำผลงานไม่ดีในซีซั่นที่สอง ก็หวังว่าจะหายให้เร็วไว

เวสต์บรอมวิช

หลังจากสร้างความฮือฮา ในการตามตีเสมอ เชลซี 3-3 ไปได้ เกมที่เหลือพวกเค้าก็ไม่ได้เล่นดีอีกเลย สำหรับน้องใหม่หน้าเก่าทีมนี้ ลงเล่นไป 4 เกม เสมอ 1 แพ้ 3 ดูอะไรหลายอย่างยังไม่ค่อยเข้าที่เข้าทาง ต้องบอกว่าคุณภาพนักเตะดีอยู่ แต่ดีในระดับแชมเปี้ยนชิพ พอมาอยู่ในพรีเมียร์ลีคมันยังดีไม่พอจะเอาตัวรอดให้ได้

ฟูแล่ม

อันนี้ก็น้องใหม่เหมือนกัน สำหรับอาการตอนนี้ลงเล่นไป 5 เกม เสมอ 1 แพ้ 4 ลักษณะอาการก็เหมือนกับ เวสต์บรอมวิช เล่นดีอยู่ แต่คุณภาพทีมยังสู้กับทีมอื่นในพรีเมียร์ลีคไม่ได้ ต้องบอกว่าคุณภาพยังห่างชั้นอยู่เยอะเหมือนกัน หากเป็นแบบนี้ต่อไป อาการจะแย่ลงจนอาจจะทำให้ตกชั้นตั้งแต่ไก่โห่เลยก็เป็นได้

เบิร์นลีย์

อันนี้ก็เป็นอีกทีมหนึ่งที่ผิดฟอร์มไปจากซีซั่นที่แล้ว แบบเห็นได้ชัดเลย หรือไม่ก็เล่นเหมือนเดิมแต่โดนดักทางได้หมดแล้ว เบิร์นลีย์ มีผู้เล่นดีๆอยู่ แต่เหมือนแท็คติคต้องหาอะไรใหม่มาเสริม มาเปลี่ยนบ้าง ไม่งั้นก็จะโดนดักทางอยู่แบบนี้ ขนาดเปิดซีซั่นมามีแค่ เลสเตอร์ ซิตี้ ที่เป็นเกมเจอทีมยาก ยังไม่รอด แล้วถ้าเจอทีมใหญ่ติดกันจะไหวไหม ต้องลุ้นกันหนักหน่อย

สรุปผลงานรายการยูโร 2020 ทัพ อัซซูรี่ อิตาลี

สรุปผลงานรายการยูโร 2020 ทัพ อัซซูรี่ อิตาลี

ต้องถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่คุ้มค่ามากของอิตาลี หลังจากล้มเหลวในฟุตบอลโลกคราวที่แล้ว นั่นทำให้อิตาลีพวกเค้ากลับมาตั้งต้นกันใหม่ โดยแก้ไขปัญหาตั้งแต่รากเลย เริ่มต้นจากการนำเข้าผู้จัดการทีมคนใหม่ โรแบร์โต้ มันชินี่ จากนั้นเค้าก็สร้างทีมด้วยสายเลือดใหม่บวกกับแนวคิด แท็คติคที่ไม่ได้เป็นแบบอิตาลี ผสมผสานแนวใหม่ขึ้นมาจนกลายเป็นความสำเร็จในคราวนี้

ผลงานการแข่งขัน

อิตาลีเริ่มต้นเส้นทางในรอบแบ่งกลุ่ม กลุ่มเอ เพื่อนร่วมกลุ่มของเค้าก็จะมี เวลส์, สวิสเซอร์แลนด์ และตุรกี ต้องยอมรับเลยว่าชั่วโมงนั้นไม่ง่ายสำหรับอิตาลี แต่ว่าพวกเค้าก็โชว์ให้เห็น อิตาลีโฉมใหม่ตั้งแต่เกมเปิดหัวจัดตุรกีไป 0-3 จากนั้นก็ชนะรวดอีกสองเกมแบบไม่เสียประตูเลย กลายเป็นทีมม้ามืดฟอร์มแรงแบบหักปากกาเซียน มารอบน็อคเอาท์ เจอกับ ออสเตรีย ที่ว่าจะเบา แต่เอาจริง ออสเตรีย เกือบล้มอิตาลีได้ ดีกว่าพวกเค้านิ่งกว่า เอาชนะไปได้ หลุดมาเจอกับ เบลเยียม เกมนี้ยากมาก แต่เป็นพวกเค้าที่ทำได้ดีกว่า ขึ้นนำไปก่อน 2-1 พอครึ่งหลังเบลเยียมโหมจนหมดแรง ก็ยิงอิตาลีไม่ได้ตามสไตล์รับเหนียวแน่นแบบเป็นระบบ และแท็คติค คราวนี้เจอกับสเปน ก็มาเสมออกจนต้องไปลุ้นกันในจุดโทษ คราวนี้อิตาลีโชว์ความนิ่งกว่า ทั้งที่ยิงคนแรกพลาด สุดท้ายมาเจอกับอังกฤษ เสมออีกจนต้องลุ้นจุดโทษ อิตาลี โชว์ความนิ่งอีกครั้ง จนเอาชนะได้แชมป์กลับบ้านไปแบบสมเกียรติ

นักเตะฟอร์มดี

แน่นอนว่าการได้แชมป์คราวนี้นักเตะหลายคนอยู่ในฟอร์มที่ดีมากจนรีดศักยภาพของทีมขึ้นมาด้วย คนที่เราต้องบอกเลยว่า ฟอร์มดีจริง น่าจะเป็น จอร์จินโญ่ ตัวแทนจากเชลซี ที่ลงเล่นเป็นศูนย์กลางของทีมตลอดทั้งทัวร์นาเมนต์ทั้งเกมรุกและเกมรับ หากไม่นับการยิงจุดโทษพลาดในเกมรอบชิง ที่เหลือคือ ดีหมด สองกับสามเราขอยกขึ้นมาพร้อมกันก็คือ คิเอลลินี่ กับ โบนุชชี่ สองกองหลังตัวเก๋าที่เล่นไม่เหมือนคนอายุเกือบสี่สิบ แม้จะวิ่งไม่ไวแต่ได้ความเก๋ามาประคองเกมจนถึงแชมป์ได้ น่าจะเป็นการสั่งลาทีมชาติได้ดีทั้งคู่ ส่วนอนาคตของทีมชุดนี้ คงต้องหากองหลังคนใหม่มาเสริมความแกร่ง กับกลางตัวรับอีกคน ก็น่าจะพอได้ลุ้นกับแชมป์บอลโลก

ใบแดง แบบค้านสายตา (อีกแล้ว)

ต้องยอมรับว่า การเอาในชีวิตจริงของเรา การแก้ปัญหาด้วยนวัตกรรมอะไรบางอย่างมันอาจจะแก้ปัญหาที่เราต้องการได้ แต่มันก็อาจจะสร้างปัญหาใหม่ขึ้นมาด้วยเหมือนกัน อย่างเรื่องของ VAR เองก็เช่นกัน หลายคนมองว่ามันต้องเอามาใช้เพื่อแก้ปัญหาว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นฟาลว์หรือไม่ฟาลว์ เพื่อให้ทุกอย่างมันใสสะอาด มันก็ช่วยให้หลายจังหวะ หลายเหตุการณ์ถูกแก้ไขให้ถูกต้อง แต่ VAR เองก็กลายเป็นจำเลยให้เกิดปัญหาใหม่ขึ้นมาด้วย

ปัญหา ใบแดง แบบค้านสายตา

เกมการแข่งขัน พรีเมียร์ลีค นัดแข่งที่ผ่านมา เกิดเหตุการณ์กรรมการแจกใบแดง แบบค้านสายตาอีกแล้ว คราวนี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเกมระหว่าง เวสต์แฮม กับ ฟูแล่ม ผู้ตัดสินคือ ไมค์ ดีน เกมนี้ในช่วงท้ายเกม เกิดเหตุการณ์ปะทะกันระหว่าง ซูเช็ค กับ มิโตรวิช โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในขณะที่ทุกคนกำลังเข้าไลน์เพื่อหาพื้นที่ก่อนเล่นลูกตั้งเตะ ปรากฏว่า มิโตรวิช ล้มลงไป กรรมการเป่าหยุดเกมก่อนเตะ จากนั้นไปดู VAR ปรากฏว่าภาพในนั้น เห็นว่า ซูเช็ค กำลังยกมือศอกใส่ มิโตรวิช จนล้มลงไปนอน กรรมการดูซ้ำไปมาหลายรอบ ก่อนจะตัดสินให้ใบแดงกับ ซูเช็ค ไปแบบที่ทุกคนงงกันทั้งบาง (คนดูทางบ้านก็งงด้วย)

ใบแดงจากเจตนา

จากเคสนี้ เรามองว่า กรรมการอย่าง ไมค์ ดีน แจกใบแดงผิดพลาดอีกแล้ว เพราะว่าหากมองจากปฏิกิริยาของซูเช็ค จะเห็นว่า เค้าไม่ได้จงใจศอกใส่ มิโตรวิช แต่เค้ากำลังมองบอลที่กำลังจะตั้งเตะ แล้วก็ยกแขนขึ้นมา เนื่องจากเค้าตัวสูงกว่าทำให้ศอกมันเกิดไปกระทบกับ มิโตรวิช แบบไม่ตั้งใจ จากเคสนี้มองจาก ผู้ชม ยังรู้เลยว่า ศอกมันไม่ได้ตั้งใจเลย มันเป็นไปเองตามที่ว่ามา

สรุปจากครั้งนี้และอีกหลายครั้ง ฟุตบอลการปะทะกันมันต้องมีเราก็รู้อยู่ แต่ว่ากรรมการเองก็ต้องดูด้วยว่า เจตนาของนักเตะมันจงใจให้เกิดการฟาลว์นั้นไหม หากไม่ใช่การให้ใบแดงมันก็เกินไป ซึ่งนี้ก็เป็นการตัดสินที่กรรมการเองก็ต้องกลับไปดูกันอีกทีว่าเป็นอย่างไร

โซลชาร์ ทายาทเฟอร์กูสันสิ่งที่เราคิดกันไปเอง

โซลชาร์ ทายาทเฟอร์กูสันสิ่งที่เราคิดกันไปเอง

หนึ่งในสิ่งที่แฟนบอลหลายคนยึดเหนี่ยวเอาไว้ไม่ยอมให้ปลดโซลชาร์ออกจากตำแหน่งสักที เพราะพวกเค้าเชื่อว่า โซลชาร์ เป็นหนึ่งในทายาทของสุดยอดตำนานผู้จัดการทีมอย่างท่านเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่วางมือไปแล้ว มองในมุมนี้ต้องบอกว่านี่เป็นสิ่งที่เราคิดกันไปเอง อะไรเป็นเครื่องยืนยันคำตอบนั้น เรามีเหตุผลมารองรับด้วย

การบริหารจัดการคนไม่เหมือนกัน
สิ่งที่แตกต่างกันอย่างที่สุดระหว่าง โซลชาร์ กับ เซอร์อเล็กซ์ นั่นก็คือ วิธีการบริหารจัดการคน แน่นอนว่าไม่มีวิธีการไหนดีที่สุดการบริหารจัดการคน จะไม้อ่อนไม้นวม ไม้แข็ง ทุกวิธีมีทั้งผลบวกและลบด้วยกันทั้งหมด แต่ที่เราจะพูดก็คือวิธีการใช้ต่างหาก โซลชาร์ จะเน้นความนิ่มนวลเป็นไม้อ่อนนำหน้า แต่เซอร์อเล็กซ์เอง ไม้นวมก็มี แต่เชื่อเหอะว่า ป๋าไม้แข็งนำก่อนตลอด หากใครยังจำกันได้ นักเตะทุกคนต่างกลัวการโดนแฮร์ไดร์เออร์ เป่าหน้าด้วยกันทั้งนั้น (การโดนตำหนิอย่างรุนแรงต่อหน้า) รวมถึงการจูงใจนักเตะทุกคนให้ต้องการชัยชนะ กระหายชัยชนะตลอดเวลา นั่นแหละคือสิ่งที่ป๋าทำได้ แต่โซลชาร์เหรอถ้ากระหายชัยชนะทุกเกมมันคงไม่ออกมาเป็นแบบนี้หรอก

ได้รู้ ได้เห็น แต่ไม่ได้หมายถึงเรียนรู้
ข้อต่อมา ที่ทำให้หลายคนเข้าใจผิดก็คือ โซลชาร์ จัดว่าเป็นนักเตะที่อยู่กับเซอร์อเล็กซ์ นานที่สุดคนหนึ่ง ตลอดเวลาที่เค้าอยู่ เชื่อว่าเค้าเห็นการทำงานของ เซอร์อเล็กซ์ มาตลอดทั้งการจัดการในสนาม นอกสนาม การซื้อขาย และทุกอย่างที่ผู้จัดการทีมคนหนึ่งทำตลอดชีวิตการคุมทีม แต่เราอยากจะบอกว่าการได้รู้ ได้เห็น แต่ไม่ได้เท่ากับว่าจะเรียนรู้ ทำทุกอย่างเหมือนเซอร์อเล็กซ์ได้ อีกอย่างโซลชาร์ไม่ได้เป็นคนเดียวที่เรียนรู้สักหน่อย รอย คีน ก็มาทำผู้จัดการทีมเหมือนกัน แต่ไม่ยักจะมีใครบอกว่าเป็นทายาท ป๋า สักคน น่าแปลก

วิธีการจัดทีมไม่เหมือนกัน
อีกสิ่งหนึ่งที่ไม่เหมือนกันเลย เป็นวิธีการจัดการทีม แท็คติคส์ต่างๆ หากป๋า อยู่ไม่ต้องคิดอะไรมาก เดินหน้าฆ่ามัน ลุย บุก ทำประตูอย่างกระหน่ำ แต่มีความหลากหลายนะ แต่โซลชาร์ล่ะ มันเป็นยังไงก็ไม่รู้ จะบุกก็ไม่กล้า จะรับก็ดูกลัวๆ ดูสับสนไปหมด เอาเป็นว่า เราขอฟันธงว่า ใครที่คิดว่า โซลชาร์ เป็นทายาทท่านเซอร์อยู่ เลิกคิดได้แล้ว