แฟนผีประท้วงแบบนี้เกิดจากอะไร

แฟนผีประท้วงแบบนี้เกิดจากอะไร

การออกมาประท้วงของแฟนผีในครั้งนี้ ต้องบอกเลยว่า แม้แต่แฟนบอลปีศาจแดงด้วยกันเองก็ยังเกิดคำถามจนแตกเป็นสองกลุ่มว่า ประท้วงแบบนี้ได้อะไร ทั้งฝ่ายเห็นด้วย และไม่เห็นด้วยกับการกระทำในครั้งนี้ สำหรับแฟนบอลรอบนอกอาจจะไม่เข้าใจพวกเค้าพร้อมกับมองว่า การประท้วงแบบนี้ไม่ดีต่อภาพรวมทั้งหมด อีกทั้งพวกเค้ายังเกิดคำถามว่าการที่แฟนผีประท้วงแบบฮาร์ดคอร์อย่างนี้เกิดจากอะไรกัน

ความอดทนถึงขีดสุด

เอาตามความจริง การประทุครั้งนี้ของแฟนบอล ที่เราอาจจะใช้คำว่า “ไม่ทนแล้วโว้ย” ของแฟนบอล มันเป็นการระเบิดความโกรธที่สะสมเอาไว้จนถึงขีดสุดแล้วซึ่งความจริงแล้ว การต่อต้านตระกูลเกลเซอร์ ในการเข้ามาเทคโอเวอร์สโมสรนั้นมีมาตั้งแต่ก่อนที่พวกเค้าจะเข้ามาเทคโอเวอร์เสียอีก แต่ว่าตอนนั้นเสียงของพวกเค้าเบาเกินไป จนทำให้ผู้ถือหุ้นไม่เปลี่ยนใจและขายหุ้นจนทำให้ตระกูลเกลเซอร์เข้ามาเป็นเจ้าของแต่ผู้เดียว ส่วนแฟนบอลก็ได้แต่ประท้วงไปอย่างนั้นเป็นเวลานานกว่าสิบกว่าปีทีเดียว แต่มันก็ยังไม่เป็นผล

ซุปเปอร์ลีค ฟางเส้นสุดท้าย

อย่างที่บอกไปว่า การประท้วงเอาจริงมีการตั้งกลุ่มขึ้นมาประท้วงอย่างเป็นจริงเป็นจังมาก แต่ในช่วงแรกที่ ตระกูลเกลเซอร์เข้ามา ผลงานของทีมในยุคเฟสสุดท้ายของ ป๋าเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน มันยังดีอยู่ นั่นทำให้การประท้วงกลายเป็นเรื่องไร้สาระในสายตาแฟนบอลบางกลุ่มไป แต่ว่าหลังจากยุคป๋า ผลงานการบริหารอันห่วยแตกและไม่เข้าใจการทำทีมฟุตบอลเริ่มเห็นชัดมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งฟางเส้นสุดท้ายของพวกเค้ามาจบลง ตรงที่การที่ทีมเป็นหัวหอกในการนำทีมเข้าสู่โครงการซุปเปอร์ลีค นั่นแหละกลายเป็นชนวนว่า พวกเค้าจะไม่อยู่เฉยอีกต่อไป

สงบแต่เค้าไม่สน

หลายคนอาจจะสงสัยว่า ทำไมการประท้วงต้องรุนแรงด้วย ประท้วงโดยสันติน่าจะดีกว่า แต่อย่างที่กล่าวไปข้างต้น แฟนบอลแมนเชสเตอร์ อีกกลุ่มเค้าประท้วงด้วยวิธีสงบ สันติ มานานมากแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการยืนชูป้าย การใส่ผ้าพันคอเขียวเหลือง แต่เชื่อหรือไม่ว่าการทำแบบสงบมากว่า สิบปี ไม่ได้เกิดผลอะไรเลย เพราะว่าตระกูลเกลเซอร์ไม่ได้สนใจ ไม่ได้ยี่หระแต่อย่างน้อย เมื่อสุดท้ายวิธีการสงบ สันติไม่ได้ผล มันก็เลยต้องปรับรูปแบบมาเป็นอย่างนี้

ข้อสังเกต ครึ่งแรกที่ไม่มี บรูโน่ แฟร์นันเดส

ข้อสังเกต ครึ่งแรกที่ไม่มี บรูโน่ แฟร์นันเดส

ถือว่าเป็นอะไรที่เหมาะสมมากกับ บอร์ดบริหารของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่มีข่าวว่าจะขยายสัญญา พร้อมกับเบิ้ลค่าเหนื่อยของ บรูโน่ แฟร์นันเดส กลายเป็น 200,000 ปอนด์ ต่อสัปดาห์ อันนี้ถูกต้องแล้ว จากเกมล่าสุดที่พลิก(อีกแล้ว)เอาชนะเวสต์แฮมมาได้ แสดงให้เห็นเลยว่า ชายคนนี้สำคัญกับทีมแค่ไหน เพื่อให้ชัดเจนเรามีข้อสังเกตครึ่งแรกในเกมที่ไม่มีบรูโน่ แฟร์นันเดส

แก้เกมเพรสซิ่งไม่ได้

อย่างแรกเลยต้อง ให้เครดิตกับ เดวิด มอยส์ และลูกทีมเวสต์แฮมของเค้าด้วย การลงสนามด้วยแนวคิดว่าจะเพรสซิ่งหนักๆแบบติดตัว เป็นวิธีการเล่นที่ต้องใช้พละกำลังสูงมาก เหนื่อยมาก แต่ว่านักเตะของเวสต์แฮมก็ทำได้ดีมาก ส่วนนักเตะแมนยู พอเจอเพรสซิ่งหนักแบบนี้เข้าไปก็จบเลย เล่นไม่ออก ทำได้แค่เคาะคืนหลังอย่างเดียว หรือไม่ก็โยนยาวไปวัดกันระหว่างกองหลังกับกองหน้าว่าใครจะพลาด แต่ว่าพอ บรูโน่ ลงมาด้วยความคิดเร็วทำเร็ว มองเพื่อน บวกกับเพื่อนเชื่อใจทำให้การเล่นเร็วขึ้นจนแกะ แก้เพรสซิ่งได้เลย

บุกไม่ขึ้น เล่นไม่ออก

อย่างที่บอกไปข้างต้น ครึ่งแรก นักเตะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด บุกไม่ขึ้นเล่นไม่ออกกันเลยทีเดียว เอาแค่ว่าจะพลิกบอลหันหน้าเข้าหาประตูก็ทำไม่ได้เลย ขนาดเอดินสัน คาวานี่ ที่ว่าแน่ๆเกมนี้เค้าก็เล่นไม่ออกเหมือนกัน พอแตะบอลปุ๊บโดนรุมสองตลอด ส่วนหมากไม่ต้องพูดถึง เหมือนไม่ได้ลงไปเล่นกับเค้า

ขาดผู้นำของทีม

แม้ว่ากัปตันทีมของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะเป็น แฮร์รี่ แมคไกร์ว แต่หากเป็นผู้นำของทีมในเกมบุกต้องเป็น บรูโน่ เท่านั้น เราจะเห็นว่าพอไม่มีเค้า นักเตะในทีมไม่มีใครกล้าบุกเลย ไม่มีผู้นำคอยชี้สั่งการว่าจะต้องบุกไปทางไหน ทำอย่างไร ทุกคนดูลนลานไปหมด ดูสับสน เหมือนกับเรือที่ขาดต้นหนคอยสั่งการว่าแบบนั้นเลย นั่นทำให้เกิดสถานการณ์ว่าแทนที่จะกล้าแทงบอลขึ้นไป กลับต้องคืนหลังแล้วก็วนไปใหม่แบบนี้จนหมดเวลาครึ่งแรก แต่พอ บรูโน่ ลงมามันก็คนละเรื่องเลย

วิเคราะห์ เลสเตอร์ หลังผ่านครึ่งซีซั่น

วิเคราะห์ เลสเตอร์ หลังผ่านครึ่งซีซั่น

เลสเตอร์ ซิตี้ ในซีซั่นที่แล้วถือว่าเป็นอีกหนึ่งทีมที่สร้างความประหลาดใจให้กับแฟนบอลมากเลย พวกเค้าเกือบทำได้ถึงอันดับ 3 มาซีซั่นนี้แม้ว่าจะขายตัวหลักอย่าง เบน ชีเวลล์ไป พวกเค้าก็ไม่ได้อ่อนยวบลงแต่อย่างใด ยังสามารถต่อยอดความสำเร็จของทีมมาได้ถึงตรงนี้ มาวิเคราะห์กันบ้างว่าครึ่งซีซั่นผ่านไปเลสเตอร์เป็นอย่างไรบ้าง

เก็บคะแนนได้ตามต้องการ

เลสเตอร์ ซิตี้ ตอนนี้เค้าอยู่ในตำแหน่งคั่วแชมป์ลีคด้วย บางจังหวะเค้าสามารถสอดแทรกขึ้นไปถึงตำแหน่งจ่าฝูงได้เลย ความน่ากลัวของเลสเตอร์ ซีซั่นนี้มาจากการเล่นที่มีความแน่นอนมากขึ้น การเล่นเกมรับมีระเบียบ วินัย ไม่เสียง่าย บวกกับ แคสเปอร์ ชไมเคิล ชั่วโมงนี้เค้านี่เหนียวจริง ยิงเข้ายากมากบางเกม เค้านี่แหละเซฟแต้มให้กับทีมเลย ส่วนเกมรุกแน่นอนว่าตัวหลักอย่าง เจมี่ วาร์ดี้ ทำหน้าที่ได้เหมือนเดิม อาจจะไม่เร็วเท่าเดิม แต่ความคม ความไว และประสบการณ์ยังไว้ใจได้เสมอ ทำให้พวกเค้ามีความสมดุลดีมากทั้งเกมรุก เกมรับ ขาดแต่เพียงช่องว่างของตัวจริง ตัวสำรองยังห่างกันเยอะ หากตัวจริงเจ็บ ก็เกิดปัญหาได้เหมือนกัน หากแก้ตรงนี้ได้ เลสเตอร์ ก็พร้อมจะเป็นตาอยู่ สอดแทรกขึ้นไปเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีคได้เหมือนกัน

นักเตะปั้นใหม่ดีขึ้น

เลสเตอร์ ซิตี้กลายเป็นอีกหนึ่งทีมที่มีสต๊าฟแมวมองดีมาก แม้ว่าพวกเค้าจะเสียใครไป แต่ก็หามาแทนแบบไม่ต้องปั้นกันเยอะก็ใช้งานได้เลย ซีซั่นนี้แม้ว่าพวกเค้าจะเสีย เบน ชีเวลล์ ไปให้เชลซี แต่พวกเค้าก็ได้ เวสลี่ย์ โฟฟาน่า มาปั้นต่อ หรือจะเป็นเจมส์ จัสติน ที่คนนี้ก็เกิดในซีซั่นนี้ คู่มากับ ฮาร์วีย์ บาร์นส์ ส่วนตัวที่ฟอร์มดีอยู่แล้วก็ยังรักษาระดับตัวเองไว้ได้ ไม่ว่าจะเป็น เจมส์ เมดดิสัน หรือ วิลฟรีด เอ็นดีดี้ ทั้งหมดนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับ เบรแดน รอดเจอร์ส และทีมงานเลยสายตาเฉียบแหลม บวกกับแท็คติคที่ดีจริง ใช้งานได้จริง น่ากลัวบอกตามตรง

ใครจะหาชัยชนะได้ก่อนกัน

ใครจะหาชัยชนะได้ก่อนกัน

ตอนนี้ฟุตบอลพรีเมียร์ลีค เดินทางมาถึงเกมการแข่งขันนัดที่ 5 เทียบให้เข้าใจง่ายน่าจะเป็นการผ่านช่วงออกสตาร์ทมาแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าทีมที่ชนะมากสุดคือ 4 เกม คือ เอฟเวอร์ตัน กับ แอสตัน วิลล่า ถือว่าเปิดหัวได้สวย แต่มองไปอีกด้านก็ยังมีอีกหลายทีมที่ยังควานหาชัยชนะนัดแรกไม่เจอ มีใครกันบ้าง

เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด

จากที่เคยถูกมองว่าเป็นม้ามืด เล่นดี ฟอร์มดี ทีมเวิร์คเยี่ยมในซีซั่นที่แล้ว มาซีซั่นนี้พวกเค้าก็เล่นเหมือนเดิม ผู้เล่นก็หน้าเดิมเกือบหมด แต่ว่าผลการแข่งขันไม่เหมือนเดิม ตอนนี้เล่นไป 5 เกม อยู่อันดับที่ 17 เสมอ 1 แพ้ 4 ถือว่าเป็นสิ่งที่ผิดความคาดหมายไปเยอะเลย สื่อเมืองนอกให้ความเห็นว่านี่คืออาการของ second season syndrome อาการที่ทีมฟอร์มตกหรือทำผลงานไม่ดีในซีซั่นที่สอง ก็หวังว่าจะหายให้เร็วไว

เวสต์บรอมวิช

หลังจากสร้างความฮือฮา ในการตามตีเสมอ เชลซี 3-3 ไปได้ เกมที่เหลือพวกเค้าก็ไม่ได้เล่นดีอีกเลย สำหรับน้องใหม่หน้าเก่าทีมนี้ ลงเล่นไป 4 เกม เสมอ 1 แพ้ 3 ดูอะไรหลายอย่างยังไม่ค่อยเข้าที่เข้าทาง ต้องบอกว่าคุณภาพนักเตะดีอยู่ แต่ดีในระดับแชมเปี้ยนชิพ พอมาอยู่ในพรีเมียร์ลีคมันยังดีไม่พอจะเอาตัวรอดให้ได้

ฟูแล่ม

อันนี้ก็น้องใหม่เหมือนกัน สำหรับอาการตอนนี้ลงเล่นไป 5 เกม เสมอ 1 แพ้ 4 ลักษณะอาการก็เหมือนกับ เวสต์บรอมวิช เล่นดีอยู่ แต่คุณภาพทีมยังสู้กับทีมอื่นในพรีเมียร์ลีคไม่ได้ ต้องบอกว่าคุณภาพยังห่างชั้นอยู่เยอะเหมือนกัน หากเป็นแบบนี้ต่อไป อาการจะแย่ลงจนอาจจะทำให้ตกชั้นตั้งแต่ไก่โห่เลยก็เป็นได้

เบิร์นลีย์

อันนี้ก็เป็นอีกทีมหนึ่งที่ผิดฟอร์มไปจากซีซั่นที่แล้ว แบบเห็นได้ชัดเลย หรือไม่ก็เล่นเหมือนเดิมแต่โดนดักทางได้หมดแล้ว เบิร์นลีย์ มีผู้เล่นดีๆอยู่ แต่เหมือนแท็คติคต้องหาอะไรใหม่มาเสริม มาเปลี่ยนบ้าง ไม่งั้นก็จะโดนดักทางอยู่แบบนี้ ขนาดเปิดซีซั่นมามีแค่ เลสเตอร์ ซิตี้ ที่เป็นเกมเจอทีมยาก ยังไม่รอด แล้วถ้าเจอทีมใหญ่ติดกันจะไหวไหม ต้องลุ้นกันหนักหน่อย

สรุปผลงานรายการยูโร 2020 ทัพ อัซซูรี่ อิตาลี

สรุปผลงานรายการยูโร 2020 ทัพ อัซซูรี่ อิตาลี

ต้องถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่คุ้มค่ามากของอิตาลี หลังจากล้มเหลวในฟุตบอลโลกคราวที่แล้ว นั่นทำให้อิตาลีพวกเค้ากลับมาตั้งต้นกันใหม่ โดยแก้ไขปัญหาตั้งแต่รากเลย เริ่มต้นจากการนำเข้าผู้จัดการทีมคนใหม่ โรแบร์โต้ มันชินี่ จากนั้นเค้าก็สร้างทีมด้วยสายเลือดใหม่บวกกับแนวคิด แท็คติคที่ไม่ได้เป็นแบบอิตาลี ผสมผสานแนวใหม่ขึ้นมาจนกลายเป็นความสำเร็จในคราวนี้

ผลงานการแข่งขัน

อิตาลีเริ่มต้นเส้นทางในรอบแบ่งกลุ่ม กลุ่มเอ เพื่อนร่วมกลุ่มของเค้าก็จะมี เวลส์, สวิสเซอร์แลนด์ และตุรกี ต้องยอมรับเลยว่าชั่วโมงนั้นไม่ง่ายสำหรับอิตาลี แต่ว่าพวกเค้าก็โชว์ให้เห็น อิตาลีโฉมใหม่ตั้งแต่เกมเปิดหัวจัดตุรกีไป 0-3 จากนั้นก็ชนะรวดอีกสองเกมแบบไม่เสียประตูเลย กลายเป็นทีมม้ามืดฟอร์มแรงแบบหักปากกาเซียน มารอบน็อคเอาท์ เจอกับ ออสเตรีย ที่ว่าจะเบา แต่เอาจริง ออสเตรีย เกือบล้มอิตาลีได้ ดีกว่าพวกเค้านิ่งกว่า เอาชนะไปได้ หลุดมาเจอกับ เบลเยียม เกมนี้ยากมาก แต่เป็นพวกเค้าที่ทำได้ดีกว่า ขึ้นนำไปก่อน 2-1 พอครึ่งหลังเบลเยียมโหมจนหมดแรง ก็ยิงอิตาลีไม่ได้ตามสไตล์รับเหนียวแน่นแบบเป็นระบบ และแท็คติค คราวนี้เจอกับสเปน ก็มาเสมออกจนต้องไปลุ้นกันในจุดโทษ คราวนี้อิตาลีโชว์ความนิ่งกว่า ทั้งที่ยิงคนแรกพลาด สุดท้ายมาเจอกับอังกฤษ เสมออีกจนต้องลุ้นจุดโทษ อิตาลี โชว์ความนิ่งอีกครั้ง จนเอาชนะได้แชมป์กลับบ้านไปแบบสมเกียรติ

นักเตะฟอร์มดี

แน่นอนว่าการได้แชมป์คราวนี้นักเตะหลายคนอยู่ในฟอร์มที่ดีมากจนรีดศักยภาพของทีมขึ้นมาด้วย คนที่เราต้องบอกเลยว่า ฟอร์มดีจริง น่าจะเป็น จอร์จินโญ่ ตัวแทนจากเชลซี ที่ลงเล่นเป็นศูนย์กลางของทีมตลอดทั้งทัวร์นาเมนต์ทั้งเกมรุกและเกมรับ หากไม่นับการยิงจุดโทษพลาดในเกมรอบชิง ที่เหลือคือ ดีหมด สองกับสามเราขอยกขึ้นมาพร้อมกันก็คือ คิเอลลินี่ กับ โบนุชชี่ สองกองหลังตัวเก๋าที่เล่นไม่เหมือนคนอายุเกือบสี่สิบ แม้จะวิ่งไม่ไวแต่ได้ความเก๋ามาประคองเกมจนถึงแชมป์ได้ น่าจะเป็นการสั่งลาทีมชาติได้ดีทั้งคู่ ส่วนอนาคตของทีมชุดนี้ คงต้องหากองหลังคนใหม่มาเสริมความแกร่ง กับกลางตัวรับอีกคน ก็น่าจะพอได้ลุ้นกับแชมป์บอลโลก

ใบแดง แบบค้านสายตา (อีกแล้ว)

ต้องยอมรับว่า การเอาในชีวิตจริงของเรา การแก้ปัญหาด้วยนวัตกรรมอะไรบางอย่างมันอาจจะแก้ปัญหาที่เราต้องการได้ แต่มันก็อาจจะสร้างปัญหาใหม่ขึ้นมาด้วยเหมือนกัน อย่างเรื่องของ VAR เองก็เช่นกัน หลายคนมองว่ามันต้องเอามาใช้เพื่อแก้ปัญหาว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นฟาลว์หรือไม่ฟาลว์ เพื่อให้ทุกอย่างมันใสสะอาด มันก็ช่วยให้หลายจังหวะ หลายเหตุการณ์ถูกแก้ไขให้ถูกต้อง แต่ VAR เองก็กลายเป็นจำเลยให้เกิดปัญหาใหม่ขึ้นมาด้วย

ปัญหา ใบแดง แบบค้านสายตา

เกมการแข่งขัน พรีเมียร์ลีค นัดแข่งที่ผ่านมา เกิดเหตุการณ์กรรมการแจกใบแดง แบบค้านสายตาอีกแล้ว คราวนี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเกมระหว่าง เวสต์แฮม กับ ฟูแล่ม ผู้ตัดสินคือ ไมค์ ดีน เกมนี้ในช่วงท้ายเกม เกิดเหตุการณ์ปะทะกันระหว่าง ซูเช็ค กับ มิโตรวิช โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในขณะที่ทุกคนกำลังเข้าไลน์เพื่อหาพื้นที่ก่อนเล่นลูกตั้งเตะ ปรากฏว่า มิโตรวิช ล้มลงไป กรรมการเป่าหยุดเกมก่อนเตะ จากนั้นไปดู VAR ปรากฏว่าภาพในนั้น เห็นว่า ซูเช็ค กำลังยกมือศอกใส่ มิโตรวิช จนล้มลงไปนอน กรรมการดูซ้ำไปมาหลายรอบ ก่อนจะตัดสินให้ใบแดงกับ ซูเช็ค ไปแบบที่ทุกคนงงกันทั้งบาง (คนดูทางบ้านก็งงด้วย)

ใบแดงจากเจตนา

จากเคสนี้ เรามองว่า กรรมการอย่าง ไมค์ ดีน แจกใบแดงผิดพลาดอีกแล้ว เพราะว่าหากมองจากปฏิกิริยาของซูเช็ค จะเห็นว่า เค้าไม่ได้จงใจศอกใส่ มิโตรวิช แต่เค้ากำลังมองบอลที่กำลังจะตั้งเตะ แล้วก็ยกแขนขึ้นมา เนื่องจากเค้าตัวสูงกว่าทำให้ศอกมันเกิดไปกระทบกับ มิโตรวิช แบบไม่ตั้งใจ จากเคสนี้มองจาก ผู้ชม ยังรู้เลยว่า ศอกมันไม่ได้ตั้งใจเลย มันเป็นไปเองตามที่ว่ามา

สรุปจากครั้งนี้และอีกหลายครั้ง ฟุตบอลการปะทะกันมันต้องมีเราก็รู้อยู่ แต่ว่ากรรมการเองก็ต้องดูด้วยว่า เจตนาของนักเตะมันจงใจให้เกิดการฟาลว์นั้นไหม หากไม่ใช่การให้ใบแดงมันก็เกินไป ซึ่งนี้ก็เป็นการตัดสินที่กรรมการเองก็ต้องกลับไปดูกันอีกทีว่าเป็นอย่างไร

โซลชาร์ ทายาทเฟอร์กูสันสิ่งที่เราคิดกันไปเอง

โซลชาร์ ทายาทเฟอร์กูสันสิ่งที่เราคิดกันไปเอง

หนึ่งในสิ่งที่แฟนบอลหลายคนยึดเหนี่ยวเอาไว้ไม่ยอมให้ปลดโซลชาร์ออกจากตำแหน่งสักที เพราะพวกเค้าเชื่อว่า โซลชาร์ เป็นหนึ่งในทายาทของสุดยอดตำนานผู้จัดการทีมอย่างท่านเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่วางมือไปแล้ว มองในมุมนี้ต้องบอกว่านี่เป็นสิ่งที่เราคิดกันไปเอง อะไรเป็นเครื่องยืนยันคำตอบนั้น เรามีเหตุผลมารองรับด้วย

การบริหารจัดการคนไม่เหมือนกัน
สิ่งที่แตกต่างกันอย่างที่สุดระหว่าง โซลชาร์ กับ เซอร์อเล็กซ์ นั่นก็คือ วิธีการบริหารจัดการคน แน่นอนว่าไม่มีวิธีการไหนดีที่สุดการบริหารจัดการคน จะไม้อ่อนไม้นวม ไม้แข็ง ทุกวิธีมีทั้งผลบวกและลบด้วยกันทั้งหมด แต่ที่เราจะพูดก็คือวิธีการใช้ต่างหาก โซลชาร์ จะเน้นความนิ่มนวลเป็นไม้อ่อนนำหน้า แต่เซอร์อเล็กซ์เอง ไม้นวมก็มี แต่เชื่อเหอะว่า ป๋าไม้แข็งนำก่อนตลอด หากใครยังจำกันได้ นักเตะทุกคนต่างกลัวการโดนแฮร์ไดร์เออร์ เป่าหน้าด้วยกันทั้งนั้น (การโดนตำหนิอย่างรุนแรงต่อหน้า) รวมถึงการจูงใจนักเตะทุกคนให้ต้องการชัยชนะ กระหายชัยชนะตลอดเวลา นั่นแหละคือสิ่งที่ป๋าทำได้ แต่โซลชาร์เหรอถ้ากระหายชัยชนะทุกเกมมันคงไม่ออกมาเป็นแบบนี้หรอก

ได้รู้ ได้เห็น แต่ไม่ได้หมายถึงเรียนรู้
ข้อต่อมา ที่ทำให้หลายคนเข้าใจผิดก็คือ โซลชาร์ จัดว่าเป็นนักเตะที่อยู่กับเซอร์อเล็กซ์ นานที่สุดคนหนึ่ง ตลอดเวลาที่เค้าอยู่ เชื่อว่าเค้าเห็นการทำงานของ เซอร์อเล็กซ์ มาตลอดทั้งการจัดการในสนาม นอกสนาม การซื้อขาย และทุกอย่างที่ผู้จัดการทีมคนหนึ่งทำตลอดชีวิตการคุมทีม แต่เราอยากจะบอกว่าการได้รู้ ได้เห็น แต่ไม่ได้เท่ากับว่าจะเรียนรู้ ทำทุกอย่างเหมือนเซอร์อเล็กซ์ได้ อีกอย่างโซลชาร์ไม่ได้เป็นคนเดียวที่เรียนรู้สักหน่อย รอย คีน ก็มาทำผู้จัดการทีมเหมือนกัน แต่ไม่ยักจะมีใครบอกว่าเป็นทายาท ป๋า สักคน น่าแปลก

วิธีการจัดทีมไม่เหมือนกัน
อีกสิ่งหนึ่งที่ไม่เหมือนกันเลย เป็นวิธีการจัดการทีม แท็คติคส์ต่างๆ หากป๋า อยู่ไม่ต้องคิดอะไรมาก เดินหน้าฆ่ามัน ลุย บุก ทำประตูอย่างกระหน่ำ แต่มีความหลากหลายนะ แต่โซลชาร์ล่ะ มันเป็นยังไงก็ไม่รู้ จะบุกก็ไม่กล้า จะรับก็ดูกลัวๆ ดูสับสนไปหมด เอาเป็นว่า เราขอฟันธงว่า ใครที่คิดว่า โซลชาร์ เป็นทายาทท่านเซอร์อยู่ เลิกคิดได้แล้ว

เป้าหมาย และความคาดหวังของ เลสเตอร์ ซิตี้

เป้าหมาย และความคาดหวังของ เลสเตอร์ ซิตี้

ต้องยอมรับว่า หลังจากพวกเค้าได้สร้างเทพนิยายแห่งโลกฟุตบอลขึ้นมาอีกครั้งด้วยการแหวกทีมอื่นขึ้นมาคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีคได้เป็นสมัยแรกของสโมสร พวกเค้าก็เหมือนจะกลับมาอยู่ในจุดนั้นไม่ได้อีกเลย ทีมก็มีการเปลี่ยนแปลงมากมายจนกระทั่งการเข้ามาของ เบรแดน รอดเจอร์ส ที่ทำให้เลสเตอร์ ซิตี้ในซีซั่นที่แล้วพวกเค้ากลับมามีลุ้นอีกครั้งหนึ่ง แม้จะแผ่วปลายจนพลาดไปเองในช่วงโค้งสุดท้ายก็ตาม มาดูว่าในซีซั่นนี้ เป้าหมายและความคาดหวังของพวกเค้ามีอะไรบ้าง
อันดับ 3 ต้องมา
หากจะบอกว่าในกลุ่มหัวแถว ใครเป็นม้ามืดมากที่สุด คงต้องเป็นเลสเตอร์ ซิตี้ที่พวกเค้ามาแรงมากแม้จะเงียบแต่ก็สร้างความกดดันให้กับทีมหัวตารางได้มากพอสมควร ช่วงหนึ่งเคยขึ้นไปบี้กับลิเวอร์พูลด้วยซ้ำไป ความผิดพลาดในช่วงปลายซีซั่นเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นอีก มองไปที่เป้าหมาย เอาจริงๆพวกเค้ามีสิทธิ์ครองที่ 3 แบบสบายๆด้วยซ้ำไป หากจะให้ตั้งเป้าหมายซีซั่นนี้ในลีคของพวกเค้าต้องได้อันดับที่ 3 เป็นอย่างแย่เลย แต่หากพวกเค้ามีเสริมทีให้ดี ก็ต้องมองไปที่ตำแหน่งรองแชมป์เท่านั้น
เกมบอลถ้วย
สำหรับเกมบอลถ้วย เลสเตอร์ ซิตี้ ก็ถือว่าทำผลงานได้น่าพอใจทีเดียว แต่ถ้าพวกเค้าคิดจะกลับไปเป็นทีมหัวตารางของลีคอีกครั้ง แน่นอนว่าเกมบอลถ้วยพวกเค้าต้องทำได้ดีกว่านี้ สองรายการที่มีในอังกฤษ เอฟเอคัพ ต้องไปให้ได้ถึงรอบรองชนะเลิศ ส่วนคาราบาวคัพ ถ้าหากพวกเค้าดวงดีหน่อย หรือ เจอทีมที่ไม่ได้ส่งตัวจริงลงหมด ต้องมองเป้าหมายไปที่ทะลุถึงรอบชิงชนะเลิศได้เลย
เกมฟุตบอลยุโรป
การตกลงมาอันดับที่ 5 ได้ไปเล่นยูโรป้าลีค ต้องบอกว่าเป็นเป้าหมายที่น่าผิดหวังหากมองว่าพวกเค้ายืนอันดับที่ 3 แบบสบายใจก่อนกลับมาเตะอีกครั้งช่วงโควิท 19 อย่างไรก็ตามแม้จะได้เล่นถ้วยยูโรป้าลีค ก็ยังถือว่าดีอยู่จากสถานการณ์ของทีม เป้าหมายในถ้วยนี้เรามองว่า ถ้ารอดไปถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายได้ถือว่าตามเป้า น้อยกว่านั้นถือว่าผิดหวัง

เหตุผลทางด้านฟุตบอลที่จะทำให้ แวร์เนอร์ ไปได้ดีกับเชลซี

sbobet
ใครที่เป็นแฟนฟุตบอลทีมเชลซีต้องบอกว่า ตอนนี้ยิ้มกันหน้าบานเลยทีเดียว ก็จะอะไรเสียอีก พวกเค้ามีโอกาสสูงมากที่จะได้กองหน้าตัวท็อปดาวรุ่งของวงการอย่าง ติโม แวร์เนอร์ ไปร่วมทีมแบบเกือบจะ 100% เหลือแต่ชูเสื้อเท่านั้นเอง ทีนี้เรามาดูเหตุผลทางด้านฟุตบอลกันว่า หากแวร์เนอร์มาจริง อะไรจะทำให้เข้าไปได้ดีกับเชลซี ณ พรีเมียร์ลีค
เล่นตัวจริงสม่ำเสมอ
การทุ่มซื้อแบบหมดหน้าตัก เดินเกมแบบเต็มสูบไม่กลัวหงายเงิบ เป็นเพราะว่าเชลซีต้องการนักเตะที่จะมาเป็นดาวยิงประจำทีมอย่างมาก มองไปตอนนี้แม้ดาวรุ่งอย่างโอดอย และ แทมมี่ ทำหน้าที่ได้ดี แต่ประสบการณ์ยังน้อยเกินไป การมาของแวร์เนอร์ค่อนข้างการันตีตัวจริงเลย ไม่ว่าจะเป็นเล่นหน้าเดี่ยว หรือจะเป็นหน้าคู่ที่จะเป็นตัวหลัก แล้วให้ โอดอย หรือ แทมมี่มาประกบคู่ นักเตะพอได้ลงบ่อยๆทุกอย่างมันจะดีขึ้นปรับตัวได้ไวขึ้น จนมีโอกาสปังในที่สุด
ตัวป้อน ตัวจ่ายเพียบ
มองไปที่ด้านหลังของแวร์เนอร์ กองกลางของเชลซี ต้องบอกว่ามีแต่ตัวเน้นจ่าย ไม่เน้นเลี้ยงบอลทั้งนั้น ทั้งคริสเตียน พูลิซิซ, เมสัน เมาท์, จอร์จินโญ่ หรือจะเป็น ฮาคิม ซีเย็ค นี่ก็ตัวจ่ายบอลเหมือนกัน พอมีคนจ่ายบอลคมให้ บอกเลยว่า แวร์เนอร์เตรียมวิ่งทะลุกองหลังไปยิงจนเจ็บเท้าได้เลย น่าจะได้หลุดกับดักล้ำหน้าไปดวลเดี่ยวกับผู้รักษาประตูหลายครั้งทีเดียวแหละที่เหลือก็อยู่กับเจ้าตัวแล้วว่าจะทำได้ดีแค่ไหน
นักเตะเยอรมัน ไม่ต้องห่วง
แม้นักเตะเยอรมันจะไม่ค่อยอยากย้ายมาเล่นที่ต่างประเทศมากนัก แต่หากไล่เรียงรายชื่อนักเตะเยอรมันในพรีเมียร์ลีคก็ประสบความสำเร็จกันหลายคน รุ่นพี่ของ แวร์เนอร์ ในสีเสื้อก็จะมี มิชาเอล บัลลัค, อันเดร ชูเล่, อันโตนิโอ รูดิเกอร์ พวกเค้าทำได้ดีในตำแหน่งของตัวเอง ซึ่งเราเชื่อว่า แวร์เนอร์ จะเดินตามรุ่นพี่ได้แน่นอน

แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด

เหมือนง่ายแต่ไม่ง่าย โปรแกรมต่อไปของผีแดง แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด

แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด

หลังจากเสียสถิติชนะรวดไป หลายคนเริ่มมีคำถามกันแล้วว่าที่ผ่านมาที่พวกเค้าชนะรวดมานั้นเป็นเพราะว่าพวกเค้าได้เจอกับทีมที่ระดับต่ำกว่าเยอะใช่หรือเปล่า ส่วนหนึ่งก็ต้องตอบว่าเป็นเช่นนั้นแต่การเจอเกมติดๆกันช่วงบ็อกซิ่งเดย์ แล้วชนะรวดก็ไม่ง่ายเหมือนกัน แต่หลังจากเสมอกับลิเวอร์พูลไป 1-1 พวกเค้าจะไปเจอใครต่อบ้าง

การไปเยือนสโต๊คของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ไม่เคยง่าย

เกมต่อไปเป็นเกมยากแน่นอน นั่นคือการไปเยือน บริทาเนีย สเตเดี้ยมของเหล่าช่างปั้นหม้อ สโต๊ค ซิตี้ ที่เล่นเกมหนัก ประชิดตัวได้ดีเหลือเกิน เกมบีบเร็ว เพรสซิ่งสูงแบบนี้ ไมเคิล คาร์ริค หัวใจสำคัญในแดนกลางไม่ค่อยถนัดเท่าไร ต้องมาดูกันว่าพวกเค้าจะเอาชนะได้หรือเปล่า แถมกองหน้าตัวสูงอย่าง ปีเตอร์ เคราซ์ ก็พร้อมจะสร้างเซอร์ไพรส์ด้วยเหมือนกัน

ต้อนรับ เสือกับโค้ชใหม่

เกมที่สอง จะกลับมาเล่นในบ้าน เจอกับทีมฮัลล์ ซิตี้ที่ตอนนี้ต้องบอกว่าเป็นเสือลำบากจริงๆ กับการดิ้นรนหนีตกชั้น แม้ว่าแมนยู เพิ่งจะเอาชนะไปได้จากเกม อีเอฟแอล นัดแรก 2-0 ไปแบบสบาย แต่เกมนี้ก็ไม่ควรประมาท ผู้จัดการทีมคนใหม่อย่าง มาร์โก ซิลวา น่าจะมีอะไรมารับมือบ้าง แต่ถ้าไม่มีอะไรเลยแสดงว่า เราคาดหวังในตัวเค้ามากเกินไป

การบุกบ้านแชมป์เก่าที่กำลังลำบาก

เกมที่สามเปิดหัวเดือนแห่งความรักด้วยการไปเยือน คิงพาวเวอร์ สเตเดี้ยมของแชมป์เก่าเลสเตอร์ ซิตี้ ที่ฤดูกาลนี้ต้องบอกว่า ไม่ดีเอาเสียเลย การได้ไปเล่น UCL ทำให้ทีมเสียสมดุลไปเยอะ ยิ่งเกมนี้เลสเตอร์ ขาดนักเตะตัวหลักไปรับใช้ทีมชาติในศึกแอฟริกัน เนชั่นคัพ ถึง 3 คน น่าจะทำให้พิษสงหายไปเยอะแต่อย่างไรก็ดี แชมป์เก่าที่ตอนนี้กำลังจะกระเสือกกระสนเต็มที่น่าจะเล่นแบบเต็มที่สู้ไม่ถอย เหมือนกัน