การออกมาประท้วงของแฟนผีในครั้งนี้ ต้องบอกเลยว่า แม้แต่แฟนบอลปีศาจแดงด้วยกันเองก็ยังเกิดคำถามจนแตกเป็นสองกลุ่มว่า ประท้วงแบบนี้ได้อะไร ทั้งฝ่ายเห็นด้วย และไม่เห็นด้วยกับการกระทำในครั้งนี้ สำหรับแฟนบอลรอบนอกอาจจะไม่เข้าใจพวกเค้าพร้อมกับมองว่า การประท้วงแบบนี้ไม่ดีต่อภาพรวมทั้งหมด อีกทั้งพวกเค้ายังเกิดคำถามว่าการที่แฟนผีประท้วงแบบฮาร์ดคอร์อย่างนี้เกิดจากอะไรกัน
ความอดทนถึงขีดสุด
เอาตามความจริง การประทุครั้งนี้ของแฟนบอล ที่เราอาจจะใช้คำว่า “ไม่ทนแล้วโว้ย” ของแฟนบอล มันเป็นการระเบิดความโกรธที่สะสมเอาไว้จนถึงขีดสุดแล้วซึ่งความจริงแล้ว การต่อต้านตระกูลเกลเซอร์ ในการเข้ามาเทคโอเวอร์สโมสรนั้นมีมาตั้งแต่ก่อนที่พวกเค้าจะเข้ามาเทคโอเวอร์เสียอีก แต่ว่าตอนนั้นเสียงของพวกเค้าเบาเกินไป จนทำให้ผู้ถือหุ้นไม่เปลี่ยนใจและขายหุ้นจนทำให้ตระกูลเกลเซอร์เข้ามาเป็นเจ้าของแต่ผู้เดียว ส่วนแฟนบอลก็ได้แต่ประท้วงไปอย่างนั้นเป็นเวลานานกว่าสิบกว่าปีทีเดียว แต่มันก็ยังไม่เป็นผล
ซุปเปอร์ลีค ฟางเส้นสุดท้าย
อย่างที่บอกไปว่า การประท้วงเอาจริงมีการตั้งกลุ่มขึ้นมาประท้วงอย่างเป็นจริงเป็นจังมาก แต่ในช่วงแรกที่ ตระกูลเกลเซอร์เข้ามา ผลงานของทีมในยุคเฟสสุดท้ายของ ป๋าเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน มันยังดีอยู่ นั่นทำให้การประท้วงกลายเป็นเรื่องไร้สาระในสายตาแฟนบอลบางกลุ่มไป แต่ว่าหลังจากยุคป๋า ผลงานการบริหารอันห่วยแตกและไม่เข้าใจการทำทีมฟุตบอลเริ่มเห็นชัดมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งฟางเส้นสุดท้ายของพวกเค้ามาจบลง ตรงที่การที่ทีมเป็นหัวหอกในการนำทีมเข้าสู่โครงการซุปเปอร์ลีค นั่นแหละกลายเป็นชนวนว่า พวกเค้าจะไม่อยู่เฉยอีกต่อไป
สงบแต่เค้าไม่สน
หลายคนอาจจะสงสัยว่า ทำไมการประท้วงต้องรุนแรงด้วย ประท้วงโดยสันติน่าจะดีกว่า แต่อย่างที่กล่าวไปข้างต้น แฟนบอลแมนเชสเตอร์ อีกกลุ่มเค้าประท้วงด้วยวิธีสงบ สันติ มานานมากแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการยืนชูป้าย การใส่ผ้าพันคอเขียวเหลือง แต่เชื่อหรือไม่ว่าการทำแบบสงบมากว่า สิบปี ไม่ได้เกิดผลอะไรเลย เพราะว่าตระกูลเกลเซอร์ไม่ได้สนใจ ไม่ได้ยี่หระแต่อย่างน้อย เมื่อสุดท้ายวิธีการสงบ สันติไม่ได้ผล มันก็เลยต้องปรับรูปแบบมาเป็นอย่างนี้